ยินดีต้อนรับสู่ My Blogger

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
      คอมพิวเตอร์ หมายถึง  เครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยชุดคำสั่ง  หรือโปรแกรมต่างๆสามารถเชื่อมกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ  ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักยภาพสูงในการคำนวณประมวลผล  ข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข  รูปภาพ  ตัวอักษร  และเสียง 

ส่วประกอบสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์

1. คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์  หมายถึง  ส่วนประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์  แบ่งออกป็น ส่วนคือ

     1.1 หน่วยรับข้อมูลเข้า (Input  Unit)
          เป็นวัสดุอุปกรณ์ ที่นำเชื่อมต่อ  ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบ  เพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการ  ได้แก่
                -แป้นอักขระ (keybord)
                -แผ่นซีดี (CD-ROM)
               -ไมโครโฟน  (Microphone)  เป็นต้น

     1.2 หน่วยประมวลผลกลาง  (central  processing  unit)
            ทำหน้าที่เกี่ยวกับคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์รวมถึงการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ

     1.3 หน่วยความจำ  (memory  unit)

           ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลแล้วเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล


     1.4 หน่วยแสดงผล  (output  unit)
            ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล หรือผ่านการคำนวณแล้ว

     1.5 อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ  (peripheral  equipment)
           เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น  เช่น โมเด็ม (modem)  แผงวงจรเชื่อมต่อเครือข่ายเป็นต้น

ประโยชน์คอมพิวเตอร์

1. มีความเร็วในการทำงานสูง  สามารถประมวลผลคำสั่งได้รวดเร็วเพียงชั่ววินาที  จึงใช้ในงานคำนวณต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
2. มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง  ทำงานได้ตลอด 24  ชั่วโมง  ใช้แทนกำลังคนได้มาก
3. มีความถูกต้องแม่นยำ  ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4. เก็บข้อมูลได้มาก  ไม่เปลืองเนื้อที่เก็บเอกสาร
5. สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็วช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน



ระบบคอมพิวเตอร์   (computer  system)

         หมายถึง  กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆกับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด  เช่น  ระบบเสียภาษี  ระบบทะเบียน  ระบบราษฎร์  ระบบทะเบียนการค้า  ระบบเวช  ระเบียนของโรงพยาบาล  เป็นต้น
        การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง



องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ  4  ส่วน ดังนี้

1.ฮาร์ดแวร์   (hardware)  หรือส่วนเครื่อง
2.ซอฟแวร์หรือส่วนชุดคำสั่ง
3.ข้อมูล (data)
4.บุคลากร


1. ฮาร์ดแวร์ หมายถึงส่วนเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆที่เราสามารถจับต้องได้ 
ประกอบด้วย  4  ส่วนดังนี้
   1.ส่วนประมวลผล  (processer)
   2.ส่วนความจำ  (memory)
   3.อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก  (input- output devices)
   4.อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล  (storage  devices)

     1.1ส่วนประมวลผล  (processer)
- cpu  เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เปรียบเสมือนสมอง
ทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ประมวณผลและเปรียบเทียบข้อมูลโดยทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบและแปลงให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้  ความสามารถของ  cpu  นั้น พิจารณษจากความเร็วของการทำงาน  การรับส่งข้อมูล  อ่าและเขียนข้อมูลในหน่วยความจำ   ความเร็วของซีพียูขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะที่เรียกว่า สัญญาณนาฬิกาเป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน 1 วินาที มีหน่วยเป็น  เฮิร์ตซ์  (hertz)

        1.1.1จำแนกออกเป็น  2  ประเภทดังนี้
                 1.หน่วยความจำหลัก (main memory) เป็นหน่วยเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย  ชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่ง  ข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้และสามารถนำออกมาใช้ในการประมวลภายหลัง  โดย ซีพียู ทำหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและนำออกจากหน่วยความจำ การทำงานของคอมพิวเตอร์ ต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานประมวลผลและเก็บข้อมูล  ขนาดของความจุของหน่วยความจำ  คำนวณได้จากค่าจำนวนพื้นที่ที่สามารถใช้ในการเก็บข้อมูล  จำนวนพื้นที่คือ  จำนวน ความหมายทางด้าน  ฮาร์ดแวร์  2  อย่างคือ
                1.ชิป (chip)  ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
                2.ตัวกล่องเครื่องที่มี  cpu  บรรจุอยู่

หน่วยความจำหลัก   แบ่งได้ ประเภท คือ หน่วยความจำแบบ  แรม (ram)  และหน่วยความจำแบบ รอม (rom)

               1.หน่วยความจำแบบแรม (ram)  เป็นหน่วยความจำที่ต้องการอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน  ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่อง เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า  หน่วยความจำแบบลบเลือนได้  (viatile  memory)
2.หน่วยความจำแบบรอม  (rom)     เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิ้วเตอร์ เป็นความจำถาวรที่ไม่สามารถลบเลือนได้


               2.หน่วยความจำสำรอง  (secondary  memory  unit) หน่วยความจำสำรองหรือหน่วยเก็บข้อมูลรอง เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไปหลังจากเราปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว

หน่วยความจำสำรองมีหน้าที่หลัก คือ
1.ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในอนาคต
2.ใช้ในการเก็บข้อมูลโปรแกรมได้อย่างถาวร
3.ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง


ประโยชน์หน่วยความจำสำรอง
  จะช่วยแก้ไขปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆที่ส่งเข้ามาประมวลผล  เมื่อเรียบร้อยแล้วผลลัพธ์ที่ได้ถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรม หากปิดเครื่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้า  อาจทำให้ข้อมูลสูญหายจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำรอง  เพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว่ใช้งานในครั้งต่อไป  หน่วยความจำประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปแบบของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลภายนอก  เช่น  ฮาร์ดดิสก์ แผ่นบันทึก  ชิปดิสก์  ซีดีรอม  ดีวีดี  เทปแม่เหล็ก  หน่วยความจำแบบเเฟลช  หน่วยความจำรอง  ถึงไม่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถทำงานได้ปกติ     


ส่วนแสดงผลข้อมูล
ส่วนแสดงผลข้อมูล คือ ส่วนที่แสดงข้อมูลจากสัญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูล ได้แก่  จอภาพ (monitor  หรือ  screen)  เครื่องพิมพ์ (printer) เครื่องพิมพ์ภาพ (ploter)  และลำโพง  (speaker ) เป็นต้น


บุคลากรคอมพิวเตอร์  (peopleware)

บุคลากรคอมพิวเตอร์  (peopleware)  หมายถึง  คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่นอาจประกอบด้วยคนเพียงคนเดียวหรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบโครงสร้างของหน่วยงานคอมพิวเตอร์


ประเภทบุคลากรทางคอมพิวเตอร์  (peopleware)

1.ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
2.ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
3.ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ



บุคลากรในหน่วยงานทางคอมพิวเตอร์ 
1.หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์  edp  manager
2.หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน   sytem  analyst   หรือ sa
3.โปรแกรมเมอร์  programmer
4.ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์
5.พนักงานปฏิบัติงาน


-นักวิเคราะห์ระบบงาน
ทำการศึกษาระบบงานเดิมออกแบบระบบงานใหม่
-โปรแกรมเมอร์
นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบไว่มาสร้างเป็นโปรแกรม
-วิศวกรรมระบบ
ทำหน้าที่ออกแบบ สร้างซ่อมบำรุง และดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามต้องการ
-พนักงานปฏิบัติการ
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจประจำวัน  ที่เกี่ยวข้องกับคอวพิวเตอร์


1.ผู้จัดการระบบ  system  manager   คือ  ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน

2.นักวิเคราะห์ระบบ  system  analyst  คือ  ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะหืความเหมาะสม  ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน  เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน

3.โปรแกรมเมอร์  programmer  คือ  ผู้เขียนโปรแกรมคำสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้  โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราห์ระบบได้เขียนไว้

4.ผู้ใช้  user คือ  ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไปซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้เครื่องและวิธีการใช้งานโปรแกรม  เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามต้องการ


.................................................................................................................................................................


ประเภทของซอฟต์แวร์

ซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น  3  ประเภทใหญ่ๆ คือ   ซอฟแวร์ระบบ  (system  software)
ซอฟต์แวร์ประยุกย์  (appication  software)  และ  ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ



1.ซอฟแวร์ระบบ  (system  software)

ซอฟแวร์ระบบ  (system  software)  เป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการระบบ  หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวรืระบบ  คือ ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์  เช่น  รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ  นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์  จัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำสำรอง


   ซอฟแวร์ระบบ  (system  software)  หรือโปรแกรมที่รู้จักกันดีคือ  Dos, windows, unix, linux  รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง  เช่า  ภาษา  basic, fortran, pascal, coboi, c  เป็นต้น
นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น  norton's  uilities  ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน


หน้าที่ของซอฟแวร์ระบบ  (system  software)

1.ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก เช่น  รับรู้การกดแป้นพิมพ์ต่างๆบนแผงแป้นอักขระ  ส่งรหัสตัวอัการออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ติดต่ออุปกรณ์รับเข้าแล้วส่งออกอื่นๆเช่น  เมาส์  ลำโพง เป็นต้น

2.ใชในการจัดการหน่วยความจำเพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก  หรือในทำนองกลับกัน  คือนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก

3. ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์  เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น  เช่น  การขอดูรายการในสาระบบ  (directory)  ในแผ่นบันทึก การทำสำเนาแฟ้มข้อมูล

      ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐาน ที่เห็นทั่วไป  แบ่งออกเป็น  ระบบปฏิบัติการและตัวแปลภาษา


ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ แบ่งเป็น  2  ประเภทคือ

1.ระบบปฏิบัติการ   (operratting  system ; os)

2.ตัวแปลภาษา


1.ระบบปฏิบัติการ   (operratting  system ; os)
       เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้มนการดูแลระบบคอมพิวเตอร์  เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้  ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักดีเช่น  ดอส  วินโดว์  ยูนิกส์  ลีนุกซ์  และแมคอินทอช  เป็นต้น

    1.1  ดอส  (disk  operrating  system ; dos)   เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว  การใช้งานจึงใช้คำสั่ง  ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในอดีต  ปัจจุบันระบบปฏิบัติการดอสนั้นมีการใช้งานน้อยมาก
  
    1.2 วินโดว์  (windows)  เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส  โดยให้ใช้สามารถสั่งงานได้จากเมาส์มากขึ้นแทนการใช้แผงแป้นพิมพ์อักขระเพียงอย่างเดียว  นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ยังสามรถทำงานหลายงานพร้อมกันได้  ดดยแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างบนจอภาพ   การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟิก  ผู้ใช้สามารถใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้เพื่อเลือกตำแหน่งที่ปรากฏบนจอภาพ  ทำให้คอมพิวเตอร์ได้ง่าย  ระบบปฏิบัติการวินโดว์ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
    1.3 ยูนิกส์  (unix)  เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์  ระบบปฏิบัติการยูนิกส์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด  (open  system)   ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรือใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน  ยูนิกส์ยังถูกออกบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า  ระบบหลายผู้ใช้  (muitiusers)  ระบบปฏิบัติการยูนิกส์จึงนิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เพื่อใช้งานร่วมกันหลายๆเครื่องพร้อมกัน

   1.4  ลีนุกซ์  (linux)  เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบยูนิกส์ เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่ายโปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยพัฒนาคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการลีนุกส์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน  เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆที่ทำงานบนระบบลีนุกซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในกลุ่มของกูส์นิว  (gnu)  และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือระบบของลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทแจกฟรี  (free ware) ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

     ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์สามารถทำงานได้บน ซีพียู  หลายตระกูล เช่น  อินเทล  (pc  intel)            ดิจิตอล  (digital  alpha  computer)   และ ซันสปาร์ค  (sun sparc)  ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดว์บนพีซีได้หมดก็ตาม  แต่ผู้ใช้จำนวนมากได้หันมาใว้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนลีนุกซ์กันมากขึ้น
  1.5  แมคอินทอช  (macintosh)   เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์  แมคอินทอช  ส่วนมาก  นำไปใช้งานด้านกราฟิก  ออกแบบและจัดแต่งเอกสาร  นิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆ  นอกจากระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบปฏิบัติการอีกมากมาย  เช่น  ระบบปฎิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์  เพื่อให้คอมพิวเตอร์  ทำงานร่วมกันเป็นระบบ  เช่น  ระบบปฏิบัติการเน็ตแวร์  นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ  ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา


ชนิดของระบบปฏิบัติการ  จำแนกตามการใช้งานสามมารถจำแนกได้เป็น  3  ชนิด  ด้วยกันคือ

      1.ประเภทใช้งานเดียว ( single-tasking )  ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น  ใช้ในเครื่องขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์  เช่น ระบบปฏิบัติการดอส      เป็นต้น
      2. ประเภทใช้หลายงาน   (multi- taking)  ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน  ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน  เช่น   ระบบปฏิบัติการ  windows 98  ขึ้นไป และ  unix  เป็นต้น
     3.ประเภทใช้งานหลายคน   (multi user)  ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล  ทำให้ในขณะใดขณะหนึ่งที่มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคน  แต่ละคนจะมีสถานีงานของตนเองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์  จึงต้องใรบบปฎิบัติการที่มีความสามารถสูง  เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำงานเสร็จในเวลา  เช่น  ระบบปฏิบัติการ  windows nt  และ  unix  เป็นต้น

2. ตัวแปลภาษา
      การพัฒนาซอฟแวรืต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปรภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง
     ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจได้ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟแวร์ในภายหลังได้
     ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา ซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่ ภาษา Basic, Pascal, C และภาษาโลโก้ เป็นต้น
       นอกจากนี้ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมาก ได้แก่ Fortran, Cobol, และภาษาอาร์พีจี


ซอฟแวร์ประยุกต์ 

2.2 ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software)
     ซอฟแวร์ที่ใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การจัดพิมพ์รายงาน การนำเสนองาน การจัดทำบัญชี การตกแต่งภาพ หรือการออกแบบเว็บไซต์ เป็นต้น

ประเภทของซอฟแวร์ประยุกต์

แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
     1. ซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ (proprietary Sofware)
     2. ซอฟแวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป (Packaged Sofware) มีทั้งโปรแกรมเฉพาะ(CustomiZed Packaged) และโปรแกรมมาตรฐาน(Standard Packaged)

แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน จำแนกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
     1. กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ(Business)
     2. กลุ่มการใช้งานด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย(Graphic and Multimedia)
     3. กลุ่มการใช้งานบนเว็บ(Web and Communications)



กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย
            ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมีเดีย เพื่อให้งานง่ายขึ้น เช่น ใช้ตกแต่ง วาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อภาพเคลื่อนไหว และการสร้างและออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น
    โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft Visio Professional
    โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDRAW, Adobe Photoshop
    โปรแกรมตัดต่อวิดิโอและเสียง อาทิ Adobe Premiere, Pinnacle Studio DV              
   โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Authorware, Toolbook Instructor, Adobe Director
   โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash, Adobe Dreamweaver

กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
            โปรแกรมส่งข้อความด่วน (Instant Messaging) อาทิ MSN Messenger/ Windows Messenger, ICQ
            โปรแกรมสนทนาบนอินเทอร์เน็ต อาทิ PIRCH, MIRCH
ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
            การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก
เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมายบางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการคำนวณทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล
ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
 เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงาน มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบ การที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันแล้ว เรามีภาษาที่ใช้ในการติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และปฏิบัติตามจะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้  เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์

ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วย
ภาษาเครื่อง (Machine Languages)   
        เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อง การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นที่เป็นตัวอักษร
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Languages)
      เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจากภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์ 
      แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็ยังมีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มาก และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์(Assembler) เพื่อแปลชุดภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง

ภาษาระดับสูง (High-Level Languages)
        เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statements ที่มีลักษณะเป็น
ประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้ที่เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจชุดคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้น ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากภาษาระดับสูงใกล้เคียงภาษามนุษย์ ตัวแปลภาษาระดับสูงเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องนั้นมีอยู่ 2 ชนิด ด้วยกัน คือ 
คอมไพเลอร์ (Compiler) และ อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter)
คอมไพเลอร์ จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อน แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
อินเทอร์พรีเตอร์ จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป ข้อแตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรีเตอร์จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง





ระบบสื่อสารข้อมูลและเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์

โครงสร้างเครือข่ายของคอมพิวเตอร์

1.เครื่อข่ายเฉพาะที่ ("'''''''''') 
          เป็นเครือข่ายที่มักพบเห็นกันในองค์กรโดยส่วนใหญ่ลักษณะของการเชื่อมต่อเป็นวง LAN จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆกัน เช่น อยู่ภายในอาคารหรือหน่วยงานเดียวกัน
2.เครื่อข่ายเมือง(Metropolitan Area Network : MAN)
          เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น ภายในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ในเมืองเดียวกัน เป็นต้น
3.เครือข่ายกว้าง(Wide Area Network : WAN )
        เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับ โดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง LAN และ MAN มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียว ดังนั้นเครือข่ายนี้จึงครอบคลุมพื้นที่ กว้าง โดยมีการครอบคลุมไปทั่วประเทศ หรือทั่วโลก เช่น อินเตอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology)
       การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย มีรูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์ และการเดินสายสัญญาณคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายด้วย โดยแบ่งโครงสร้างเป็นเครือข่ายหลักได้ 4 แบบ คือ
                                 1. เครือข่ายแบบดาว
                                 2. เครือข่ายแบบวงแหวน
                                 3. เครือข่ายแบบบัส
                                 4. เครือข่ายแบบต้นไม้